บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ความเชื่อกับความจริง

4) สติปัฏฐาน 4 เป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ แต่ไม่สามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้ 

พุทธศาสนิกชนจำนวนมากเลย ที่หันไปปฏิบัติธรรมตามสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปก็คือ คำโฆษณาที่ว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นทางสายเอก สายเดียวเท่านั้น ที่จะบรรลุพระอรหันต์ได้

สายใดยึดสติปัฏฐาน 4 เป็นหลัก ก็เป็นวิปัสสนากรรมฐาน  สายอื่นๆ ไม่ใช่  และถ้าปฏิบัติตามแล้ว ภายใน 7 ปี บรรลุพระอรหันต์แน่ๆ

มีพระสูตรหนึ่ง ที่สาวกของสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปชอบยกตัวอย่างเป็นประจำ อ่านหนังสือเล่มไหนๆ ของสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปก็จะพบอยู่เสมอๆ 

ส่วนใหญ่ยกมาเพื่อข่มสายสมถะกรรมฐาน  สายพุทโธจะโดนบ่อยสุด สายวิชาธรรมกายก็โดนพอๆ กันกับสายพุทโธ

พระสูตรที่ว่าก็คือ อานาปานสติสูตร ซึ่งมีเนื้อความดังนี้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้

ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ได้ 

ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ 7 แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้

อานาปานสติสูตรนี่ก็เช่นเดียวกัน  ถ้าอ่านแล้วทำใจให้เป็นกลางๆ จะเห็นว่า อานาปานสติสูตรกล่าวไว้ชัดเจนเลยว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นฐานให้โพชฌงค์ 7

และก็ยังย้ำอย่างชัดเจนว่า การจะบรรลุพระอรหันต์ต้องบำเพ็ญวิชชา ซึ่งก็คือ วิชชา 3  ถึงจะบรรลุวิมุตติ ซึ่งทำให้พระอรหันต์ทราบว่า พระองค์ท่านบรรลุพระอรหันต์ด้วยตัวท่านเองแล้ว

จากอานาปานสติสูตรที่สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปชอบยกตัวอย่างก็แสดงเนื้อหาให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คำโฆษณาที่ว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นทางสายเอก สายเดียวเท่านั้น ที่จะบรรลุพระอรหันต์ได้นั้นไม่เป็นความจริง  สติปัฏฐาน 4 เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น

แล้วการที่ชอบยกเนื้อหาในส่วนท้ายของพระสูตรนี้ที่ว่า อย่างช้าภายใน 7 ปี บรรลุพระอรหันต์แน่ๆ  ที่ทำให้คนหลงเชื่อไปปฏิบัติตามสายนี้เป็นจำนวนมาก  ก็ละเลยเรื่องบารมี 30 ทัศไปเสียสิ้น

ใครก็ตามบำเพ็ญบารมีครบ 30 ทัศน์แล้ว ก็สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ทุกคน 

การบรรลุพระอรหันต์น่ะไม่ยาก บางคนพระพุทธเจ้าตรัสคำ 2 คำ ก็บรรลุแล้ว มันยากตรงตอนสร้างบารมี สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปนี่ ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องบารมี 30 ทัศน์

ผมจึงยังสงสัยอยู่อีกว่า สานุศิษย์ของสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูป อ่านหนังสือกันไม่แตกหรือไง ถึงไม่เข้าใจ 

หรือจะเข้าใจดี แต่ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ไปเชื่อพระพม่า ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาพุทธถึงได้บิดเบือนไปได้ขนาดนั้น

โดยสรุป

ศรัทธา ความเชื่อ ความงมงาย ก็คือ ความเชื่อทั้งหมด  แต่ภาษาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์จึงกำหนดให้ใช้แตกต่างกันไป ศรัทธาใช้กับความเชื่อในทางศาสนา  ความเชื่อก็ใช้อย่างกลางๆ ส่วนงมงายใช้กับความเชื่อที่ไม่ค่อยยอมรับกันในทางวิชาการหรือในทางวิทยาศาสตร์

ก็มาถึงคำสุดท้ายคือ ความจริง

ในเมื่อ "ศรัทธา",  "ความเชื่อ", และ "ความงมงาย" ก็คือ ความเชื่อทั้งหมด แล้วแต่ว่า “สิ่ง” ที่พวกเขาเหล่านั้นเชื่อ เป็นความจริงหรือไม่

แล้วคำไหนล่ะที่ตรงกับความจริง

ที่ผมเกริ่นมาตั้งแต่แรกๆ เลย ก็คือ คำว่า วิชาการในงานทางวิชาการนี่ พวกนักวิชาการจึงมีอำนาจมากกว่าพวกอื่น 

พวกนักวิชาการส่วนใหญ่มี ศรัทธา/ความเชื่อ/ความงมงายในวิทยาศาสตร์ในเรื่องใด พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นรวมถึงสาวกของวิทยาศาสตร์ด้วยก็จะบอกว่า เรื่องนั้นๆเป็น ความจริง” 

ถ้าไม่ใช่ของนักวิชาการก็จะบอกว่า เรื่องนั้นๆเป็น ศรัทธา/ความเชื่อ/ความงมงายไปแล้วแต่กรณี

ขอยกตัวอย่างซักนิดก็แล้วกัน

เมื่อประมาณหลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อเริ่มมีการหาเสียงเลือกตั้งหลังจากการปฏิวัติโดย คมช. ผ่านพ้นไปแล้ว  

ที่จังหวัดนครสวรรค์มีข่าวว่า หัวคะแนนคนหนึ่งถูกยิงที่ศีรษะจำนวน 4 นัด จนสลบไป  คนร้ายที่นอกจากจะถือปืนมาแล้ว ยังมีไม้มาด้วย คือ วางแผนมาฆ่าให้ตายแน่ๆ

อาจจะรู้ว่า คนๆ นี้หนังเหนียวมาก่อนหน้านี้แล้วก็ได้ ถึงต้องเตรียมไม้มาด้วย  รู้สึกว่า คนร้ายมากัน 4 คน

เมื่อเห็นว่า หัวคะแนนผู้นั้นล้มฟุบและสลบไป ผู้ร้ายก็คิดว่า ตายแล้วจึงได้หลบหนีไป

พวกที่ชอบอิทธิปาฏิหาริย์ก็นำมาถกเถียงกันในเว็บไซต์  ก็ว่ากันไป สาวกวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ยืนยันอย่างหัวชนฝาว่า ลูกปืนชื้นหรือเสื่อมสมรรถภาพหรือลูกปืนมันด้านทำนองนี้

เพื่อนผมคนหนึ่ง ถึงกับหลุดปากออกมาว่า บิดามันเถอะ ลูกปืนมันจะด้านพร้อมกัน 4 นัดได้ยังไง และคนร้ายมันเตรียมมาฆ่า ไม่ได้มาล้อเล่นกัน  แล้วกระสุนปืนมันก็แรง จนคนถูกยิงถึงกับสลบไป  ลูกปืนมันจะชื้นจะด้านยังไง

นี่ก็เป็นตัวอย่างของความงมงายในวิทยาศาสตร์

ส่วน ความศรัทธา/ความเชื่อ ของสานุศิษย์ของสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปที่เชื่อว่า การทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอๆ ในการพิจารณาอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อยตามคำสอนของพระพม่า

โดยปฏิเสธการเห็นทั้งหมดนั้นสามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้  ทั้งๆ ที่ขัดกับพระไตรปิฎก ขัดกับคัมภีร์วิสุทธิมรรค

ก็เป็นความงมงายในศาสนาพุทธตัวจริงเสียงจริงนั่นแล....

หรือใครจะเถียง........




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น