บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ความจริงน่ะ จริงของใคร

กลับมาเข้าเรื่องหลังจากอารัมภบทไปพอสมควรแล้ว

เอา ศรัทธา ก่อน คำนี้ค่อนข้างมีศักดิ์ศรีกว่าคำอื่นๆ ที่เหลือ และมักจะใช้กับศาสนา กล่าวคือ ถ้าใครนับถือศาสนาไหน ก็จะมีการใช้คำๆ นี้ในทำนองว่า คนนั้นเขาศรัทธาศาสนานี้

หรืออาจจะศรัทธาบุคคลก็ได้ ในกรณีที่บุคคลเหล่านั้นเป็นคนดี คนที่เคร่งศาสนามากๆ ก็จะได้รับคำยกย่องว่า มีศรัทธาสูงทำนองนี้

คำต่อมาก็คือ ความเชื่อ คำนี้ศักดิ์ของคำลดน้อยลงมา กลายเป็นความเชื่อในสิ่งทั่วๆ ไป เช่น เชื่อว่า คนนี้คนนั้นเป็นคนดี เชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี้เหมาะสมกับประเทศไทยแล้ว

เชื่อว่า กกต. จะยุบพรรคชาติไทย กับพรรคมัชฌิมาธิปไตย เป็นต้น

คำต่อมาก็คือ ความงมงาย ความงมงายนี่ ศักดิ์ศรีของคำต่ำสุดๆ มักจะใช้กับคนที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆ หรือเชื่อเรื่องหมอดูอะไรทำนองนั้น

ถ้ามีต้นกล้วยออกปลีกลางต้น หรือหมูออกมา 8 ขาแล้วตาย ก็จะมีบุคคลกลุ่มหนึ่ง ไปจุดธูปจุดเทียนบูชาเพื่อขอหวย เป็นต้น

บุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นพวกงมงาย

เท่าที่อธิบายมาทั้งหมดนั้น  เป็นความหมายพื้นฐานโดยทั่วไปของ ศรัทธา ความเชื่อ และความงมงาย 

สำหรับ “ความจริง” จะอธิบายไว้ท้ายสุด  แต่ปรากฏการณ์ที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้  จะเห็นว่า การใช้คำต่างๆ เหล่านั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ถึงจะเหมาะสม เช่น ความเชื่อของผู้ปฏิบัติธรรมบางสายที่เชื่อว่า การปฏิบัติธรรมของตนเป็นวิปัสสนา เป็นต้น

สายปฏิบัติธรรมที่ว่านั้นก็คือ สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูป  ทั้ง 2 สายปฏิบัติธรรมนี้ มีต้นกำเนิดมาจากพระพม่า  คือ พวกนี้ชอบของนอก  ของไทยมีอยู่ไม่สนใจ  ดูถูกด้วย หาว่าเป็นเพียงสมถะกรรมฐาน

ต้องของพระพม่าเท่านั้น ถึงจะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน

สายปฏิบัติธรรมทั้ง 2 สายนี้ จะชู "สติปัฏฐาน 4" เป็นธงนำชัย  ว่าเป็นหนทางสายเดียวที่จะพาพวกตนไปนิพพานได้  สายอื่นๆ ไม่ได้แอ้มว่ายังงั้น

สิ่งที่ควรจะสนใจ หรือควรจะสะกิดใจ และควรนำมาใคร่ครวญว่า สิ่งที่สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปศรัทธาและเชื่ออยู่นั้น  เป็นความจริงหรือไม่ มีอยู่อย่างน้อย 4 ประการ ที่จะยกตัวอย่างให้เห็น ณ ที่นี้ ดังนี้

1) วิปัสสนา แปลว่า เห็นแจ้ง

กล่าวคือ “วิ” แปลว่า “แจ้ง”  “ปัสสนา” แปลว่า “เห็น”  แต่สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูป นี่ปฏิเสธการเห็นทั้งหมด ว่าเป็นนิมิตลวง  ห้ามสานุศิษย์เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ้าเห็นอะไรก็ตามต้องพิจารณาเห็นหนอ เห็นหนอ แล้วให้การเห็นนั้นหายไป พูดง่ายๆ ว่า ไม่ให้เห็นอะไร

ก็ดังที่ผมกล่าวไปแล้วว่า วิปัสสนา แปลว่า เห็นแจ้ง  การปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนาก็ต้องเห็น  แต่จะเห็นอะไรนั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ทางสายวิชาธรรมกายมีหลักสูตรทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานครบถ้วน  อธิบายไว้อย่างชัดแจ้ง  มีคนปฏิบัติตามได้เป็นจำนวนมาก

พวกยุบหนอพองหนอกับนาม-รูปยังมาโจมตีหาว่า “การเห็น” ของวิชาธรรมกายเป็นนิมิตลวง  เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่มีหลักวิชาการเลย มีแต่หลักวิชากูทั้งนั้น 

ถ้าพวกยุบหนอพองหนอกับนาม-รูปต้องการจะวิพากษ์วิจารณ์สายวิชาธรรมกายอย่างเป็นวิชาการ  ก็ต้องมาศึกษาให้ละเอียด  ไม่ต้องปฏิบัติตามก็ได้ แต่ต้องศึกษาให้รู้เขา รู้เราเสียก่อน

นี่ความรู้ของสายตัวเองก็ยังไม่มั่นคง  สายปฏิบัติธรรมอื่นๆ ก็ไม่ได้ศึกษาของเขา แต่ไปวิพากษ์วิจารณ์ของเขา  อย่างนี้มันก็กบในกะลาตัวเมียชัดๆ

ขออธิบายเพิ่มเติมประเด็นเกี่ยวกับ การเห็น ของวิชาธรรมกายนิดหนึ่ง เพื่อที่ว่า ผู้อ่านจะได้เข้าใจไปพร้อมๆ กัน

ถ้าถามว่า สายวิชาธรรมกายมีนิมิตลวงหรือไม่  ก็ตอบได้ว่า มีแต่เราจะรู้เลยว่า สิ่งเห็นขึ้นมาในขณะนั้นเป็นนิมิตลวง

ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่า วิชาธรรมกายนั้น มีหลักสูตรกำหนดไว้ ต้องมี การเห็น เป็นหลัก เช่น ขั้นตอนนี้ต้องเห็นเป็นดวงใส ณ ศูนย์กลางกายของกายใด  ขั้นตอนนี้ต้องเห็นเป็นดวงสีดำ ที่ใด

วิชาธรรมกายเห็นดวงสีดำได้ ถ้าเราต้องการศึกษาเรื่องการตายของคน คนที่จะตายดวงตายจะมีสีดำสนิท

โดยสรุป

วิชาธรรมกายก็มีนิมิตลวง แต่เราจะรู้ทันทีที่เห็น เพราะ เป็นการเห็นภาพที่ไม่ตรงกับหลักสูตร  ก็จะมีวิธีการจัดการกับนิมิตลวงเหล่านั้น

ในประเด็นนี้ก็น่าเห็นใจกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอ กับสายนาม-รูปเหมือนกัน เพราะ ครูบาอาจารย์สั่งสอนมาอย่างนั้น ก็ทำให้เสียโอกาสที่จะศึกษาสาสนาให้กว้างขวางออกไป...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น